บริษัท Saint-Gobain เป็นผู้ผลิตวัสดุก่อสร้าง กระจก และวัสดุอุตสาหกรรมหลากหลายประเภท โดยหน่วยงานวิจัยของ Sain-Gobain ในรัฐ Massachusetts สหรัฐอเมริกาทำหน้าที่พัฒนากระบวนการผลิตโดยใช้เทคโนโลยีใหม่ เพื่อสนับสนุนบริษัทในเครือกว่า 100 แห่งทั่วโลก บ่อยครั้งที่บริษัทจำเป็นต้องตอบสนองความต้องการของลูกค้าโดยไม่ทำให้กระบวนการทำงานเดิมสะดุดลง ในกรณีหนึ่งลูกค้าต้องการปรับเปลี่ยนรูปทรงของหลอดด้ายที่ใช้ในกระบวนการทอผ้า ทำให้ Saint-Gobain ต้องผลิต Spindle Adapter จำนวน 400 ชิ้นเพื่อประกอบหลอดด้ายแบบใหม่เข้ากับแกนหมุน ทีมงานจึงวางแผนกลึงชิ้นงานด้วยเครื่อง CNC แต่พบปัญหาเนื่องจากต้นทุนค่าแรงและวัสดุในการผลิตชิ้นส่วน Adapter สูงถึงเกือบ 1.5 ล้านบาท และต้องใช้เวลาช่างกลึง 1,200 ชั่วโมงในการผลิต
ทีมวิศวกรของ Sain-Gobain จึงได้ใช้ Markforged X7 3D Printer เพื่อผลิตชิ้นส่วนแทนการใช้เครื่อง CNC โดยพิมพ์ชิ้นงานจากวัสดุ Onyx ซึ่งทำจากวัสดุไนลอนเสริมเส้นใย Carbon Fiber มีความแข็งแรงกว่าพลาสติก ABS 1.4 เท่า การเปลี่ยนวิธีผลิตมาใช้ 3D Printing ช่วยให้ Saint-Gobain ลดต้นทุนค่าแรงและเวลาในการผลิตอย่างมหาศาล โดยไม่ต้องเสียเวลาเซ็ทอัพเครื่องนาน สามารถลดต้นทุนการผลิตได้ถึง 86% และประหยัดเวลาในการทำงานได้ถึง 90 วัน "การลดเวลาและต้นทุนไม่ใช่เพียงประโยชน์อย่างเดียวของ 3D Printer แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือมันช่วยให้ทีมงานของเรามีเวลาไปทำงานอื่นที่มีมูลค่าสูงกว่าเดิม" Emmanuel Simadiris วิศวกรวิจัยและพัฒนากล่าว "ผลประหยัดที่เราได้จากงานนี้ช่วยให้เราคืนทุนเครื่องพิมพ์ได้ภายในระยะเวลาเพียง 6 เดือน"
การใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบดิจิทัลช่วยให้ Saint-Gobain เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและลดค่าใช้จ่ายสำหรับงาน Tooling & Fixtures โดยการผลิตชิ้นส่วน Carbon Fiber ใช้ทดแทนชิ้นส่วนอลูมิเนียม ทีมงานที่ Sain-Gobain ยังมีแผนที่จะใช้ Markforged 3D Printer พัฒนาไลน์ผลิตในโรงงานอีกหลายแห่งทั่วอเมริกาเหนือ
"We had a 100% return on investment within six months of purchasing the printer."
— Emmanuel Simadiris, Research Engineer, Saint-Gobain Research North America.
Emmanuel Simadiris, วิศวกรวิจัยและพัฒนา บริษัท Saint-Gobain กำลังใช้งานเครื่อง Markforged X7 Industrial 3D Printer
เริ่มต้นผลิตชิ้นงาน 3D ที่แข็งแกร่งเท่าอลูมิเนียมด้วย
Markforged 3D Printer